ในวันที่ผีแดงต้องเจ็บปวด

สมัครสมาชิก Auto

ในวันที่ผีแดงต้องเจ็บปวด

ในวันที่ผีแดงต้องเจ็บปวด อโมริมดันทุรังใช้แผนหลัง3ถึงจะแพ้ก็ไม่มีใครด่า เพราะคิดว่าอโมริมกำลังทดลองทีม และนักเตะกำลังปรับตัวให้เข้ากับระบบ แต่ถ้าเล่นระบบปกติเดิมๆ แล้วเกิดแพ้ คนก็จะเอาไปเทียบกับโค็ชคนเก่าๆที่ผ่านมาหรือเปล่า ดาวเตะของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยอมรับ ทำใจยากมากที่ต้องเห็นทีมลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก มาครอง..

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานวันที่ 4 มิ.ย. ว่า สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ กองกลางทีมชาติสกอตแลนด์ของ “ปิศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยอมรับ เจ็บปวดไม่น้อยที่ต้องเห็น “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ประจำฤดูกาล 2018-19 ลิเวอร์พูล เอาชนะ ทอตแนม ฮอตสเปอร์ ในนัดชิงชนะเลิศ ไป 2-0 ครองเจ้ายุโรปเป็นสมัยที่ 6 ซึ่ง แม็คโทมิเนย์ ยอมรับว่าเป็นภาพที่เขาไม่ได้อยากเห็นนัก

“ผมคือ แมนฯ ยูไนเต็ด มาตลอด ดังนั้นผมคงไม่สามารถโกหกได้หรอกว่ามันเป็นสิ่งที่ยากลำบากมากที่ได้ดูอะไรแบบนี้ แต่มันก็ยังถือว่ารู้สึกดีที่ได้เห็นเพื่อนนักเตะชาวสกอต (แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน) ได้ลงเล่น และรู้สึกดีที่ได้เห็นว่าเขาผ่านอะไรมาบ้างตั้งแต่ปี 2012 มาจนถึงตอนนี้” แม็คโทมิเนย์ กล่าว แกรี เนวิลล์ ตำนานนักเตะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยอมรับตามตรงว่าการคว้าแชมป์ลีกสูงสุดสมัยที่ 20 ของ ลิเวอร์พูล ทำให้ไม่ต้องเถียงกันแล้วว่าทีมใดคือสโมสรที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในอังกฤษสิ้น

ลิเวอร์พูล ได้แชมป์พรีเมียร์ลีกหนที่ 2 แต่รวมแล้วได้ลีกสูงสุดสมัย 20 เท่ากับ แมนฯ ยูไนเต็ด แต่เมื่อเทียบในเวทียุโรป ลิเวอร์พูล คว้าถ้วยรางวัลแชมเปี้ยนส์มาได้ 6 รายการ ในขณะที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้ 3 รายการ ถือเป็นการตัดสิน กูรูวัย 50 ปี ซึ่งคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 8 สมัย และแชมเปี้ยนส์ลีก 2 สมัยกับ แมนฯ ยูไนเต็ด ยอมรับว่านี่คือวันที่สโมสรที่เขารักต้องตระหนัก แต่ยืนกรานว่า ลิเวอร์พูล สมควรได้รับความเคารพ

“คุณต้องเคารพทีมที่ได้แชมป์ พวกเขาคือทีมที่ดีที่สุด นี่คือผลงานการโค้ชที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่เราเคยเห็น การเข้ามาแล้วไม่คว้าตัวผู้เล่นมา แต่ยังคงทำได้สำเร็จ คุณต้องยอมรับเขา แต่เป็นวันที่เรา (แมนฯ ยูไนเต็ด) ต้องคิดอย่างจริงจัง” “มันเป็นเรื่องใหญ่ เมื่อคุณคิดถึงความสำคัญของแชมป์ลีก ผู้จัดการทีมของลิเวอร์พูลและยูไนเต็ด มักจะพูดถึงลีก ลิเวอร์พูล มีถ้วยยุโรปมากกว่า สิ่งที่น่าเจ็บปวดคือ การถกเถียงกันนั้นจบลงไปแล้ว จนกว่ายูไนเต็ดจะกลับมาประสบความสำเร็จอีกครั้งและคว้าแชมป์ลีกได้”

“มันน่าจะทำให้เกิดความสั่นสะเทือนที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด ลิเวอร์พูลจะเป็นสโมสรที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดหลังจากวันนี้ และนั่นน่าจะทำให้เกิดความเจ็บและปวด เพราะต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าจะแซงหน้า ลิเวอร์พูล ได้ หลังจากที่ ลิเวอร์พูล เปิดบ้านถล่ม สเปอร์ส 5-1 เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ 27 เมษายน ที่ผ่านมา ทำให้พวกเขาการันตีการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2024-25 เป็นทางการ

จากความสำเร็จในครั้งนี้ทำให้ “หงส์แดง” สร้างประวัติศาสตร์เป็นแชมป์ลีกสูงสุดสมัยที่ 20 พร้อมทั้งทาบสถิติของ “ปีศาจแดง” แมนฯ ยูไนเต็ด ที่เคยยืนหนึ่งเป็นที่เรียบร้อย ภายหลังจบเกม แกรี่ เนวิลล์ อดีตแข้งปีศาจแดง ที่ผันตัวมาเป็นกูรูลูกหนังให้กับ สกาย สปอร์ต ถึงกับออกมายอมรับว่ารู้สึกเจ็บปวดกับความสำเร็จในครั้งนี้ของทีมอริร่วมลีก

“มันเป็นเรื่องใหญ่มาก เมื่อคุณคิดถึงแชมป์ลีก และความสำคัญของมัน ที่ผ่านมาคุณยกย่องความสำเร็จของสโมสรว่าทีมใดประสบความสำเร็จมากที่สุด คุณสามารถถกเถียงได้ว่า แมนฯ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์ 20 สมัย” “แต่มาถึงตอนนี้พวกเขาครองแชมป์ 20 สมัยเช่นกัน แถมจำนวนถ้วยแชมป์ยุโรปก็มากกว่า มันคือเรื่องสุดเจ็บปวดที่การถกเถียงจบลงแล้ว จนกว่า แมนฯ ยูไนเต็ด จะกลับมาประสบความสำเร็จอีกครั้งในการคว้าแชมป์ลีก” อดีตแข้งปีศาจแดง ยอมรับสภาพในตอนนี้

แมนยู ปิดฉากปี 2024 ด้วยผลงานสุดเลวร้ายจากการปราชัยสี่นัดรวดในทุกรายการ และรั้งอันดับ 14 ของตาราง พรีเมียร์ลีก แม้เกมแรกของปี 2025 ปีศาจแดง จะยังต้องเผชิญกับมรสุมลูกใหญ่ที่ต้องบุกไปเยือน ลิเวอร์พูล ทีมจ่าฝูงในเกมแดงเดือด แถมต่อด้วยการออกไปเยือน อาร์เซน่อล ในเกม เอฟเอคัพ แต่ยังไงซะพวกเขาย่อมต้องตั้งเป้าหมายสำหรับปีงูเล็กในทางบวกเป็นธรรมดา

และนี่คือ 5 เป้าหมายที่ รูเบน อโมริม ต้องแก้ไขสถานการณ์ให้ ผีแดง ให้ได้เพื่อพาทีมสร้างผลงานที่ดีขึ้นในครึ่งหลังของซีซั่น

1. เกมหนีตาย

ในฐานะทีมยักษ์ที่ทุ่มเงินเสริมทัพเป็นประจำแทบทุกตลาด จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ แมนฯ ยูไนเต็ด จะต้องหวาดผวากับโอกาสหล่นไปเล่นใน แชมเปี้ยนชิพ อย่างไรก็ดี ในเมื่อฟอร์มของพวกเขารูดมหาราชอย่างที่เห็น และสะสมความพ่ายแพ้ในเกมลีกมากถึง 9 นัดแล้ว โอกาสที่ต้องกระเสือกกระสนกับการหนีตายจึงเป็นไปได้มากกว่าการพยายามคว้าอันดับท็อปโฟร์

ดังจะเห็นว่า ณ ขณะนี้ แมนฯ ยูไนเต็ด มีแต้มห่างจากโซนตกชั้นแค่ 7 แต้มเท่านั้น และแพ้มากกว่าทั้ง คริสตัล พาเลซ และ เอฟเวอร์ตัน สองทีมที่อยู่ต่ำกว่าพวกเขาซะอีกหลังเจ๊งชัยเกมลีกมากถึง 5 จาก 6 นัดหลัง ยิ่งเกมหน้าที่ต้องบู๊กับ เร้ด แมชีน มันจึงพอจะคาดเดาสถานการณ์ล่วงหน้าได้ว่าจะเป็นอีกเกมที่ ผีแดง ส่อแววไม่มีแต้มติดมือ โอกาสตกอันดับในตารางลีกของสโมสรจาก โอลด์ แทรฟฟอร์ด จะมีสิทธิ์เป็นไปได้

ด้วยเหตุนี้ แมนฯ ยูไนเต็ด จึงไม่อาจประมาทกับสถานการณ์ดังกล่าวได้อีกแล้วหากจะมองกันที่ฟอร์มการเล่น และสรุปด้วยประโยคที่ว่า “ใครเขาแพ้ แมนยู กัน” ในทางกลับกัน หาก อโมริม พาทีมบุกไปคว้าผลลัพธ์ที่ แอนฟิลด์ ได้ซึ่งอาจเป็นการแบ่งแต้มกับเจ้าบ้านเป็นอย่างน้อย มันก็อาจเป็นนิมิตรหมายอันดีต่อการเริ่มต้นปี 2025

2. มุ่งเป้าถ้วยยุโรป

ไม่เพียงอันดับในลีกจะเลวร้าย แมนฯ ยูไนเต็ด ร่วงตกรอบถ้วย คาราบาวคัพ ไปแล้วในเกมบุกไปแพ้ สเปอร์ส 4-3 นอกจากนี้ เกม เอฟเอคัพ ที่รออยู่ในเดือนนี้ ผีแดง ต้องออกไปเยือน อาร์เซน่อล ด้วย โอกาสล่องจุ๊นฟุตบอลถ้วยสองใบของประเทศจึงแลดูมีความเป็นไปได้ และในเมื่อ แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ดีพอที่จะลุ้นท้าทายอันดับท็อปโฟร์ พวกเขาจึงจำเป็นต้องโฟกัสไปที่ศึก ยูโรปา ลีก เป็นอันดับแรกหาก อโมริม หวังสร้างเกียรติประวัติให้กับตัวเองเหมือนที่ เอริค เทน ฮาก ได้แชมป์ คาราบาวคัพ และ เอฟเอคัพ แม้กุนซือชาวเมืองกังหันลมจะสร้างชื่อได้ไม่ดีพอในลีกอิงลิช

3. โละแข้งส่วนเกิน

ถึงตอนนี้ ตลาดนักเตะในเดือนม.ค.เปิดตัวแล้ว มันจึงเป็นโอกาสที่ แมนฯ ยูไนเต็ด จะได้โละทิ้งแข้งส่วนเกินหลายรายที่ไม่อาจพาทีมประสบความสำเร็จได้ นอกจากจะเป็นการประหยัดรายจ่ายด้านค่าแรงแล้ว การขายนักเตะทิ้งในเดือนนี้ยังจะทำให้ทีมมีรายได้นำมาซื้อนักเตะใหม่ด้วยเพื่อไม่ให้ผิดกฏการใช้จ่าย จากที่สื่อพากันลือ อโมริม ต้องการโละ กาเซมีโร่ และ คริสเตียน เอริคเซ่น เป็นสองรายแรก ขณะที่ อันโตนี่ ได้รับความสนใจจาก เรอัล เบติส แต่อาจเป็นสัญญาขอยืมตัว

นอกจากนี้ เชื่อกันว่า มาร์คัส แรชฟอร์ด อยู่ในลิสต์ที่กุนซือโปรตุกีสต้องการกำจัดทิ้งเช่นกัน แต่ปัญหาคือเขามีค่าแรงสูงจึงน่าจะยากที่จะมีสโมสรไหนสนใจซื้อตัวกองหน้าเลือดผู้ดีไปร่วมทีม จะอย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับความจริงกันว่า ผีแดง มีนักเตะในขุมกำลังสำรองที่มากเกินไป แถมไร้ซึ่งคุณภาพแทบทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็น วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ , จอนนี่ อีแวนส์ , โจชัว เซิร์กซี่ , ไทเรลล์ มาลาเซีย และ ฯลฯ มันจึงย่อมดีกว่าที่สโมสรจะลอยแพพวกเขาเหล่านี้เพราะยังไงซะทั้งหมดก็ไม่อาจยกระดับทีมได้

4. เซ็นกองหน้าตัวตึง

แม้จะเคยประกาศในช่วงเข้ามาคุมทีม แมนฯ ยูไนเต็ด ใหม่ๆว่าจะไม่แตะต้องนักเตะของ สปอร์ติ้ง ลิสบอน อย่างแน่นอนในช่วงเดือนม.ค.เพื่อแสดงความเคารพต่ออดีตสโมสร แต่ในเมื่อสถานการณ์ของถิ่น โอลด์ แทรฟฟอร์ด ไม่สวยงามอย่างที่ อโมริม วาดภาพสุดหรูเอาไว้ในใจ ความคิดของเขาจึงเปลี่ยนไปเป็นธรรมดา จะจริงหรือเท็จอย่างไรก็ต้องรอดูกันหลังสื่ออ้างว่ากุนซือชาวเมืองฝอยทองร้องขอให้บอร์ดทุ่มเงินคว้า วิคตอร์ โยเคเรส กองหน้าทีมชาติ สวีเดน มาร่วมทีมตั้งแต่เดือนนี้เลยเนื่องจาก ผีแดง ไม่มีหัวหอกที่สามารถพึ่งพาอาศัยได้ดังจะเห็นว่าทีมไม่มีสกอร์เลยในสามเกมหลัง

ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ก่อนจะเซ็นสัญญากับนักเตะใหม่ แมนฯ ยูไนเต็ด จำเป็นต้องขายใครบางคนในทีมออกไปก่อนเนื่องจาก เทน ฮาก ใช้เงินเสริมทัพในช่วงซัมเมอร์ไปร่วม 200 ล้านปอนด์แล้ว แต่แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเนื่องจากดาวเตะ ผีแดง แต่ละรายล้วนได้ค่าแรงก้อนโตซึ่งสโมสรอื่นไม่พร้อมจ่าย

5. คาบ้านพอได้แล้ว

คำว่า “คาบ้าน” แค่พูดก็เจ็บ แต่ชั่วโมงนี้ โอลด์ แทรฟฟอร์ด ไม่ได้เป็นสนามที่น่ายำเกรงของฝ่ายตรงข้ามอีกต่อไปแล้วเพราะที่แน่ๆ สี่เกมหลังที่ ผีแดง ปราชัย มันเป็นการแพ้ในบ้านถึงสองนัด แถมพวกเขายิงประตูไม่ได้เลยด้วย จากผลงานโดน บอร์นมัธ และ นิวคาสเซิ่ล บุกมาอัด 3-0 และ 2-0 ถือเป็นเรื่องเลวร้ายมากสำหรับ ผีแดง ในยุคนี้เนื่องจากในเกมลูกหนัง การได้เล่นในบ้านถือเป็นข้อได้เปรียบคู่แข่งทั้งเรื่องของความจัดเจนสนาม และการมีกองเชียร์ของตัวเองตะโกนร้องเพลงให้กำลังใจ

อย่างไรก็ดี มันกลายเป็นเรื่องน่าเศร้าที่ เร้ด เดวิลส์ แพ้ได้แพ้ดีในเกมเหย้า และเป็นการพ่ายแพ้แบบดูไม่จืดซะด้วย รวมทั้งสิ้นในปี 2024 แมนฯ ยูไนเต็ด ลงเล่นในบ้านทั้งสิ้น 25 นัดในทุกรายการ แต่พวกเขากำชัยได้แค่ 13 นัด และแพ้ไปถึง 7 นัด ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าด้วยผลงานระดับนี้ แมนฯ ยูไนเต็ด จึงไม่มีสิทธิ์คิดฝันถึงการโกยแต้มขยับอันดับตารางลีกเพื่อลุ้นคว้าตำแหน่งท็อปโฟร์

ก่อนหน้านี้ในซีซั่น 2022/23 เทน ฮาก เคยพาทีมสร้างผลงานนัดเหย้าได้อย่างแข็งแกร่งเนื่องจาก แมนฯ ยูไนเต็ด แพ้คาบัานแค่สองเกมเท่านั้นในทุกรายการ หากแต่ อโมริม จะเดินตามรอยอดีตกุนซือชาวเมืองกังหันลมได้หรือเปล่า สาวก เร้ด อาร์มี่ กำลังรอลุ้นด้วยใจระทึกนับจากนี้เป็นต้นไป แต่ยังมีหวังที่ริบหรี่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ สเปอร์ส ทะลุรอบรองชนะเลิศ ยูโรปา ลีก 2024/25 มีสิทธิ์ฟันเงินรางวัลรวมกว่า 500 ล้านบาท หากทะยานคว้าแชมป์ โดยแชมป์รับสูงสุด 13 ล้านยูโร รองแชมป์รับ 7 ล้านยูโร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ สเปอร์ส ทะลุรอบรองชนะเลิศ ยูโรปา ลีก 2024/25 มีสิทธิ์ฟันเงินรางวัลรวมกว่า 500 ล้านบาท

หากทะยานคว้าแชมป์ โดยแชมป์รับสูงสุด 13 ล้านยูโร รองแชมป์รับ 7 ล้านยูโร เช็กตัวเลขละเอียดทุกด่านได้ที่นี่ แมนยู จะพบกับ แอธเลติก บิลเบา ในรอบตัดเชือก ส่วน สเปอร์ส เจอ โบโด/กลิมท์ โดยนัดแรกจะเล่นวันพฤหัสบดีที่ 1 พฤษภาคม ส่วนนัดสองเล่นวันพฤหัสบดีที่ 8 พ.ค.นี้

สำหรับเงินรางวัล ยูโรปา ลีก ในซีซั่นนี้ แบ่งเป็นตามแต่ละรอบดังนี้ 

แชมป์: 13 ล้านยูโร (ประมาณ 468 ล้านบาท)

รองแชมป์: 7 ล้านยูโร (ประมาณ 252 ล้านบาท)

รอบรองชนะเลิศ: 4.2 ล้านยูโร (ประมาณ 152 ล้านบาท)

รอบก่อนรองชนะเลิศ: 2.5 ล้านยูโร (ประมาณ 90 ล้านบาท)

รอบ 16 ทีมสุดท้าย: 1.75 ล้านยูโร (ประมาณ 63 ล้านบาท)

รอบเพลย์ออฟ : 300,000 ยูโร (ประมาณ 10.8 ล้านบาท)

ชนะแต่ละนัดรอบ ลีก เฟส: 450,000 ยูโร (ประมาณ 16.2 ล้านบาท)

เสมอแต่ละนัดรอบ ลีก เฟส: 150,000 ยูโร (ประมาณ 5.4 ล้านบาท)

วันที่ 30 เม.ย. 68 เห็นด้วยไหม บาการี ซานญา อดีตแข้ง “ปืนใหญ่” อาร์เซนอล และ “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กูรูดังชี้ 3 แข้งดัง “ปิศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด  ที่ควรตะเพิดพ้นทีม เคาะชื่อคนที่ควรโดนก่อนคนแรกเลยในมุมมองของเขา ทั้งนี้ คนแรกที่ บาการี ซานญา ระบุว่า ยอดทีมสีแดงแห่งเมืองแมนเชสเตอร์ ควรปล่อยตัวออกไปนั่นคือ อ็องเดร โอนานา นายทวารมือหนึ่งของทีม ที่กลายเป็นจุดอ่อน คนที่สองคือ อเลฮานโดร การ์นาโช ตัวรุกชาวอาร์เจนตินา ที่ผลขึ้นๆ ลงๆ และ ดูเหกมือนจะไม่เข้าระบบ รูเบน อโมริม

ส่วนอีกคนคือ เมสัน เมาท์ ที่เจ็บจนแทบไม่ได้ลงสนาม จึงไม่สามารถสร้างอิมแพ็คให้กับทีมได้เลยอย่างที่คาดหวังไว้เลยแม้แต่น้อย เมื่อเทียบกับค่าตัวมหาศาล ที่ทุ่มเงินคว้าจาก “สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี ในวันที่ผีแดงต้องเจ็บปวด

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

สมัครสมาชิก Auto