เซอร์จิม จ่ายอีก 79.3 ล้านปอนด์ เพิ่มหุ้นแมนยู เป็น 28.94%
เซอร์จิม จ่ายอีก 79.3 ล้านปอนด์ เพิ่มหุ้นแมนยู เป็น 28.94% เซอร์จิม แรทคลิฟฟ์ เจ้าของร่วมได้ทำการอัดฉีดเม็ดเงินเพิ่มทำให้จำนวนหุ้นของตนเองในทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เพิ่มเป็น 28.94 เปอร์เซ็นต์ เดลี่ เมล สื่อในเมืองผู้ดี เปิดเผยว่า เซอร์จิม แรทคลิฟฟ์ มหาเศรษฐีชาวอังกฤษได้ทุ่มเงินอีก 79.3 ล้านปอนด์ (100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพื่อเพิ่มหุ้นของตนเองกับทีม “ปีศาจแดง” แมนฯ ยูไนเต็ด เป็น 28.94 เปอร์เซ็นต์ จากเดิม จำนวน 27.7 เปอร์เซ็นต์ ที่มีมูลค่า 1,200 ล้านปอนด์ซึ่งได้มีการยืนยันจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐอเมริกา
พลันที่มีข่าวลือ “อีลอน มัสก์” มหาเศรษฐีโลก ประกาศผ่านทวิตเตอร์ว่า เขาจะเทกโอเวอร์ ‘แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด’ แสงไฟสปอตไลท์ก็สาดส่องมาที่ ‘ตระกูลเกลเซอร์’ เจ้าของปัจจุบันที่ครอบครอง“แมนฯยูไนเต็ด” มาตั้งแต่ปี 2005 สมาชิก ตระกูลเกลเซอร์ (Glazer Family) เข้ามาครอบครอง ‘แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด’ สโมสรฟุตบอล พรีเมียร์ลีกอังกฤษ ชื่อดังเมื่อ 17 ปีที่แล้ว หรือย้อนไปในปี 2005 (พ.ศ.2548) ซึ่งเป็นการเข้ามาพร้อมด้วยชื่อเสียงในทางที่ไม่ดีนัก จากการที่ตระกูลเกลเซอร์ซื้อกิจการครั้งนั้นด้วยเงินกู้มา ทำให้สโมสรที่ไม่เคยมีหนี้สิน ต้องแบกภาระหนี้อ่วมตั้งแต่นั้นมา ซ้ำผลการแข่งขันก็ลุ่มๆดอนๆ
ล่าสุดเมื่อเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา (2022) ตระกูลเกลเซอร์ ได้รับการโหวตจากแฟนบอลทีมตัวเองว่าเป็น “เจ้าของทีมที่แย่ที่สุด” โดยได้รับความนิยมแค่ 4% จากการทำแบบสำรวจของเดลี่ เมล สื่อท้องถิ่นของอังกฤษ ซึ่งสำรวจความเห็นจากแฟนบอลกว่า 100,000 คนจาก 20 สโมสรในศึกพรีเมียร์ลีก คะแนนโหวตความนิยมเจ้าของทีม ที่ตระกูลเกลเซอร์ได้รับนั้น ถือเป็นอันดับบ๊วยสุด ด้วยเหตุผลที่คาดว่าจะมาจาก การบริหารทีมที่ย่ำแย่ การสรรหาผู้จัดการทีม และการร้างความสำเร็จมาแล้ว 5 ฤดูกาลติดต่อกัน
หลังจากที่มีข่าวแผนการเข้าซื้อกิจการสโมสรปีศาจแดงของนายอีลอน มัสก์ ผู้ขยันทวีตข้อความต่าง ๆ ซึ่งมีผลต่อการขึ้นลงของหุ้นบริษัทที่เขากล่าวถึง ต่อมามัสก์เองก็ได้ออกมาทวีตปฏิเสธข่าวลือดังกล่าวแล้ว (อ่านเพิ่มเติม: ปั่นมั้ย”อีลอน มัสก์” ยันทวีตซื้อ “แมนยู” แค่ล้อกันเล่น) และยังคงไม่มีการแสดงความคิดเห็นใด ๆ ทั้งจากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และจากผู้บริหารของตระกูลเกลเซอร์ แต่ถึงกระนั้นก็ตาม เรื่องการขายสโมสรนั้นมีมูลมาก่อนหน้านี้แล้ว โดยมีรายงานออกสื่อของอังกฤษมาตั้งแต่ต้นสัปดาห์นี้ว่า ตระกูลเกลเซอร์ เจ้าของทีมแมนฯ ยูไนเต็ด ตั้งราคาขายทีมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว โดยคาดว่าอาจมีมูลค่ามากกว่า 4,000 ล้านปอนด์ หรือคิดเป็นเงินไทยกว่า 1.7 แสนล้านบาท
สื่ออังกฤษรายงานว่า ณ วันที่ 16 ส.ค.ที่ผ่านมา สโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีมูลค่าตลาดที่ประมาณ 2,080 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เมื่อตอนตระกูลเกลเซอร์ซื้อสโมสรแห่งนี้ในปี 2005 นั้น พวกเขาใช้เงินซื้อสโมสรเพียง 955.51 ล้านดอลลาร์เท่านั้น ตลอดระยะเวลาที่เข้าครอบครองสโมสร (ซึ่งถึงตอนนี้ก็เป็นระยะเวลา 17 ปีแล้ว) พวกเขามีความพยายามที่จะขายสโมสรมาเป็นระยะ ๆ โดยเมื่อปลายปีที่แล้ว (2021) พวกเขาตั้งราคาทีมปีศาจแดงไว้ที่ราว ๆ 4,000 ล้านปอนด์ แต่ก็ยังไม่มีใครมาซื้อ เพราะมองว่าราคานี้ยังสูงเกินไป
ท่ามกลางสถานการณ์การแข่งขันที่ไม่สวยหรูนัก โดยแมนฯ ยูไนเต็ด ออกสตาร์ตฤดูกาลใหม่ของการแข่งขันพรีเมียร์ลีกด้วยการแพ้ติดต่อมา 2 นัด จนครองตำแหน่งบ๊วยของตารางคะแนนพรีเมียร์ลีก ข่าวการขายสโมสรก็ลือหึ่งขึ้นมาอีกครั้ง ไม่ว่าเสียงลือจะเป็นจริงหรือไม่ และเจ้าของคนใหม่จะเป็นนายอีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีอันดับ1 ของโลกหรือเปล่า เรามาทำความรู้จัก ‘ตระกูลเกลเซอร์” เจ้าของสโมสรปีศาจแดงในปัจจุบันกันก่อน
ย้อนกลับไปในเดือนพฤษภาคม 2005 นายมัลคอล์ม เออร์วิง เกลเซอร์ (Malcolm Irving Glazer) นักธุรกิจชาวอเมริกันเชื้อสายยิว เข้าซื้อหุ้น 28.7% ในสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และต่อมาก็ได้ถือครองส่วนได้เสียที่มีอำนาจควบคุมผ่านเครื่องมือในการลงทุนบริษัทเรดฟุตบอล (Red Football Ltd.) เพื่อซื้อกิจการสโมสรด้วยการกู้ยืมเงินประมาณ 800 ล้านปอนด์ (หรือ 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เมื่อการซื้อกิจการเสร็จสมบูรณ์ สโมสรปีศาจแดงจึงออกจากตลาดหลักทรัพย์ เงินส่วนใหญ่ที่เกลเซอร์นำมาซื้อกิจการ เป็นเงินที่ตระกูลเกลเซอร์ไปกู้มา หนี้สินจึงถูกโอนมาเป็นหนี้ของสโมสร จนทำให้สโมสรมีหนี้ติดตัวถึง 540 ล้านปอนด์ พร้อมดอกเบี้ยอัตรา 7-20%

ตระกูลเกลเซอร์นำสโมสรเข้าจดทะเบียนระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กในปี 2012 หลังจากนั้นไม่นาน มัลคอล์ม เกลเซอร์ เสียชีวิตในปี 2014 (พ.ศ.2557) หุ้นของตระกูลเกลเซอร์ในกิจการสโมสรแมนฯยูไนเต็ด 90% ตกเป็นของลูกๆ 6 คนของเขาในสัดส่วนเท่า ๆกัน ได้แก่ แอฟรัม โจเอล เควิน ไบรอัน ดาร์ซี และเอ็ดเวิร์ด เกลเซอร์ โดยโจเอลและแอฟรัมเป็นผู้บริหารสโมสรในตำแหน่งประธานร่วม (co-chairman)ในปัจจุบัน ส่วนคนอื่น ๆ ดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการ

อย่างไรก็ตาม พี่น้องตระกูลเกลเซอร์ทยอยขายหุ้นที่พวกเขาถือครองออกมาเป็นระยะ ๆ เช่นในปี 2014 หลังเกลเซอร์ผู้พ่อเสียชีวิตไปเพียง 6 เดือน เอ็ดเวิร์ด ก็เสนอขายหุ้นในส่วนของเขา 3 ล้านหุ้น และล่าสุด เดือนมี.ค. ปีที่แล้ว (2021) แอฟรัมเสนอขาย 5 ล้านหุ้นในส่วนของเขาคิดเป็นมูลค่าราว 97 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ข่าวระบุว่า ในปี 2019 ตระกูลเกลเซอร์ยังคงมีสิทธิ์ในการควบคุมสโมสรมากที่สุดจากการถือหุ้นราว 70 % แม้จะมีหนี้สินอยู่มาก แต่ทางสโมสรก็มีรายได้มหาศาลจากการเซ็นสัญญาในเชิงพาณิชย์ โดยนับจากที่ตระกูลเกลเซอร์เข้าซื้อกิจการในปี 2005 จนถึงกลางปี 2021 พบว่า รายได้ของสโมสรเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่า และ ‘ปีศาจแดง’ก็ได้ชื่อว่าเป็นสโมสรฟุตบอลที่มีมูลค่าสูงที่สุดเป็นอันดับ3 ของโลกในปี 2020
จากการจัดอันดับของฟอร์บส์ นอกเหนือจากสมาชิกตระกูลเกลเซอร์แล้ว หุ้นของ Manchester United PLC ในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก ถือครองโดยผู้ลงทุนสถาบัน 10 รายใหญ่ (ดังภาพประกอบ) มีรายได้รวม (ณ 31 มี.ค.2022) 152.85 ล้านปอนด์
แมนยู! 6 ภารกิจที่ เซอร์ จิม แรตคลิฟฟ์ ต้องทำเพื่อชนะใจแฟนผี ⚽🔥
“ทางบอลไม่ดี ทางบ้านก็แย่” คำนี้เหมาะสุดกับ แมนยู นาทีนี้ แล้ว เซอร์ จิม แรตคลิฟฟ์ ผู้ถือหุ้นใหญ่จะทำยังไงให้ทีมกลับมายิ่งใหญ่? มาดูกัน!
1️⃣ สร้างสนามใหม่ 🏟️
โปรเจ็กต์ “นิว โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด” อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี สนามใหม่ 1 แสนที่นั่ง = รายได้เพิ่ม + ความทะเยอทะยานของสโมสร!
2️⃣ เปิดอกคุยกัน 🤝
แฟนบอลต้องการความโปร่งใส โดยเฉพาะเรื่องค่าตั๋วที่พุ่งสูงถึง 66 ล้านปอนด์ ขณะที่ ลิเวอร์พูล ตรึงราคาตั๋วปี แรตคลิฟฟ์ควรแสดงวิสัยทัศน์ให้แฟน ๆ เห็น ไม่ใช่บริหารแบบรีโมตเหมือนยุคเกลเซอร์
3️⃣ เปิดขายหุ้นให้แฟนผีร่วมลงทุน 💰
MUST เรียกร้องให้เปิดขายหุ้นให้แฟนบอลมีส่วนร่วม ยูไนเต็ด ไม่ขาดแคลนแฟนทุนหนา ถ้า อินีออส ได้สิทธิ์ขาด อาจถึงเวลาที่แฟนบอลต้องร่วมเป็นเจ้าของจริง ๆ
4️⃣ เกลเซอร์ ออกไป! 🚫
แฟนผีอยากให้เกลเซอร์ออก แต่พวกเขายังถือหุ้น 75% และโกยเงินจากสโมสรมหาศาล อินีออสเลยต้องกลายเป็น “หนังหน้าไฟ” แทน
5️⃣ กลยุทธ์ตลาดซื้อ-ขายที่ใช่ ⚖️
ซัมเมอร์นี้ แมนยูต้องจัดทีมให้เหมาะ ไม่ใช่ซื้อเพราะเป็นเด็กเอเยนต์เดียวกับโค้ช สำคัญสุดคือรักษาสมดุลการเงินตามกฎ PSR และอย่าขายดาวรุ่งอย่าง การ์นาโช่ หรือ ค็อบบี้ เมนู!
6️⃣ ตอบโจทย์ในสนาม ⚽
ชัยชนะคือสิ่งที่ต้องมาก่อน อโมริม ยังพิสูจน์ตัวเองไม่ได้ แต่ถ้าได้รับการสนับสนุนที่ถูกต้อง อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของยุคใหม่
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีแผนที่จะปลดพนักงานจำนวนมากอีกครั้ง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการลดต้นทุนอย่างต่อเนื่องของ เซอร์ จิม แรทคลิฟฟ์ หลังรายงานก่อนหน้านี้ระบุว่า พนักงานราว 250 คนถูกเลิกจ้างไปแล้ว นับตั้งแต่ที่ เซอร์ จิม แรตคลิฟฟ์ เข้าซื้อหุ้นสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2024 เดลี่ เมล์ ระบุว่า เซอร์ จิม แรตคลิฟฟ์ และ อินิออส (INEOS) มีแผนปรับลดพนักงานของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ลงเพิ่มอีก 100-200 คน เพื่อเป็นการลดต้นทุน
โดยมีการอ้างว่าการตัดสินใจดังกล่าวเกิดขึ้นจากการพิจารณาถึงตลาดซื้อขายนักเตะในช่วงซัมเมอร์ ที่ปีศาจแดงเตรียมให้การสนับสนุนทางการเงินแก่ รูเบน อโมริม ผู้จัดการทีม ซึ่งจะเป็นช่วงที่เริ่มต้นการสร้างสนามเหย้าใหม่ของทีม สำหรับการปลดพนักงานนั้นยังไม่มีการแจ้งอย่างเป็นทางการ แต่คาดว่าจะมีการประกาศอย่างเป็นทางการในเร็วๆ นี้ ทั้งนี้ ก่อนที่ แรตคลิฟฟ์ จะเข้ามาบริหารงาน แมนฯยู มีเจ้าหน้าที่ 1,112 คน เป็นสโมสรที่มีพนักงานมากที่สุดในพรีเมียร์ลีก เมื่อเทียบกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในเวลาเดียวกัน มีพนักงานเพียง 520 คน เซอร์จิม จ่ายอีก 79.3 ล้านปอนด์ เพิ่มหุ้นแมนยู เป็น 28.94%